เมนู

ห้อมล้อมเที่ยวไป. ย่อมาภายหลัง พระศาสดา เมื่อทรงสถาปนาเหล่า
อุบาสกไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ ทรงทำกถาชื่อจิตตสังยุตให้เป็น
อัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสก ผู้เป็นธรรมกถึก แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 3

อรรถกถาสูตรที่ 4


4. ประวัติหัตถกอาฬวกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี


ในสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ท่านแสดงว่า หัตถกอาฬวก-
อุบาสก เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกผู้สงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ 4
อย่าง.
ได้ยินว่า หัตถกอาฬวกอุบาสกนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุส กรุงหังสวดี ต่อมา ฟังธรรมกถาของ
พระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกผู้หนึ่ง ผู้ประกอบด้วย
สังคหวัตถุ 4 ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป
ปรารถนาตำแหน่งนั้น. เขาเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ตลอดแสนกัป
ในพุทธุปบาทกาลนี้ถือปฏิสนธิในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าอาฬวกะ
กรุงอาฬวี แคว้นอาฬวี รุ่งขึ้นก็ถูกส่งตัวไปให้อาฬวกยักษ์ พร้อมด้วย
ถาดอาหาร. ในเรื่องนั้น มีเรื่องกล่าวตามลำดับ ดังนี้.

เล่ากันว่า วันหนึ่ง พระเจ้าอาฬวกะประพาสป่าล่าเนื้อ เสด็จตาม
เนื้อตัวหนึ่ง ฆ่าได้แล้ว ตัดเป็น 2 ท่อน ผูกคล้องไว้ที่ปลายธนู เสด็จ
กลับมา มีพระวรกายเหน็ดเหนื่อยเพราะลมและแดด จึงเสด็จเข้าไป
ประทับนั่งโคนต้นไทรที่มีร่มเงาสบาย. ขณะนั้น พระราชาบรรเทาความ
เหน็ดเหนื่อยได้ตระหนึ่งแล้วเสด็จออกมา เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไทรก็จับ
พระหัตถ์พร้อมกับกล่าวว่า หยุด หยุด ท่านต้องเป็นอาหารของเรา.
เพราะถูกจับไว้มั่นคง ท้าวเธอก็ไม่ทรงเห็นอุบายอย่างอื่น จึงตรัสว่า
เราจักส่งถาดอาหารพร้อมกับคนหนึ่ง ๆ ให้แก่ท่านทุกวัน เสด็จกลับพระ-
นครแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็ทรงส่งถาดอาหารพร้อมด้วยมนุษย์คนหนึ่ง ๆ
จากเรือนจำ. โดยทำนองนี้แล เมื่อมนุษย์ในเรือนจำหมดแล้ว พวก
คนแก่ ๆ ก็ถูกจับส่งไป ความพรั่นกลัวก็เกิดขึ้นในบ้านเมือง. พวก
ราชบุรุษจับผู้คนเหล่านั้นไม่ได้แล้ว ก็เริ่มจับพวกเด็กอ่อน. ตั้งแต่นั้นมา
แม่ของเด็กและหญิงมีครรภ์ในพระนครต่างพากันไปรัฐอื่น.
สมัยนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในระหว่างใกล้รุ่ง ทรงเห็น
อุปนิสัยแห่งมรรคผล 3 ของอาฬวกกุมาร ทรงพระดำริว่า กุมารผู้นี้
ตั้งความปรารถนาไว้ถึงแสนกัป จุติจากเทวโลกแล้ว บังเกิดในพระ-
ราชนิเวศน์ของพระเจ้าอาฬวกะ พระราชาเมื่อไม่ได้คนอื่น ก็จักจับพระ-
กุมารไปพร้อมด้วยถาดอาหารในวันพรุ่งนี้ ดังนี้แล้ว ในเวลาเย็นจึงเสด็จ
ปลอมพระองค์ไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ ขอร้องยักษ์มีชื่อคันธัพพะผู้เฝ้า
ประตู เพื่อเสด็จเข้าไปยังที่อยู่ยักษ์. คันธัพพยักษ์นั้นทูลว่า ข้าแต่พระ -
ผู้มีพระภาคเจ้า โปรดเสด็จเข้าไปเถิด ส่วนที่ข้าพระองค์ไม่บอกอาฬวก-
ยักษ์ ไม่ควรแน่ จึงได้ไปสำนักอาฬวกยักษ์ ผู้ไปสู่สมาคมยักษ์ใน

หิมวันตประเทศ. แม้พระศาสดาเสด็จเข้าไปถึงที่อยู่แล้ว ก็ประทับนั่งบน
บัลลังก์ที่นั่งของอาฬวกยักษ์. สมัยนั้น สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์
กำลังไปสู่สมาคมยักษ์ผ่านทางเบื้องบนที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ เมื่อยังไปไม่
ถึงก็นึกว่าเหตุอะไรกันหนอ เห็นพระศาสดาประทับนั่งในภพของอาฬวก-
ยักษ์ เข้าไปเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้วจึงไปสู่สมาคมยักษ์ ประกาศ
ความยินดีแก่อาฬวกยักษ์ว่า ท่านอาฬวกะ ท่านมีลาภใหญ่แล้ว ที่พระผู้
เป็นอัครบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ประทับนั่งในที่อยู่ของท่าน จง
ไปฟังธรรมในสำนักพระศาสดาเสีย. อาฬวกยักษ์ฟังคำของยักษ์ทั้งสอง
นั้นแล้ว ก็คิดว่า ยักษ์ทั้งสองนี้พูดว่า พระสมณะโล้นรูปหนึ่ง บังอาจ
นั่งเหนือบัลลังก์ของเรา ก็ไม่พอใจ โกรธเกรี้ยวพูดว่า วันนี้เรากับ
สมณะรูปนี้ จักต้องทำสงครามกัน พวกท่านจงเป็นสหายเราในสงความ
นั้น แล้วก็ยกเท้าข้างขวาเหยียบยอดเขา ระยะประมาณ 60 โยชน์. ยอด
เขานั้นก็แยกออกเป็นสองส่วน. ตั้งแต่นั้น พึงกล่าวเรื่องการรบของ
อาฬวกยักษ์ให้พิสดาร.
ก็อาฬวกยักษ์ แม้รบกับพระตถาคตด้วยอาการต่าง ๆ ตลอดคืน
ยังรุ่ง ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงเข้าไปหาพระศาสดาถามปัญหา 8 ข้อ
พระศาสดาก็ทรงวิสัชนา. จบเทศนา อาฬวกยักษ์ดำรงอยู่ในโสดาปัตติ-
ผล. ท่านผู้ประสงค์จะกล่าวโดยพิสดารพึงตรวจดูอรรถกถาอาฬวกสูตร.
วันรุ่งขึ้น เมื่ออรุณขึ้น เวลานำถาดอาหารไป พวกราชบุรุษไม่เห็นเด็ก
ที่ควรจะจับทั่วพระนคร จึงกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาตรัสว่า
พ่อเอ๋ย เด็กมีอยู่ในที่ไม่ควรจะจับได้มิใช่หรือ. พวกเขากราบทูลว่า
อย่างนั้น พระเจ้าข้า วันนี้มีราชโอรสประสูติในราชสกุล พระเจ้าข้า.

จึงตรัสว่า พ่อจงเอาไป เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่จักได้ลูกอีก จงส่งเด็กนั้นไป
พร้อมกับถาดอาหาร. เมื่อพระเทวีกันแสงคร่ำครวญอยู่ ราชบุรุษเหล่านั้น
ก็พาเด็กไปถึงที่อยู่ของอาฬวกยักษ์พร้อมด้วยถาดอาหารกล่าวว่า เชิญเถิด
เจ้าจงรับส่วนของเจ้าไป. อาฬวกยักษ์ฟังคำของบุรุษเหล่านั้นแล้ว ก็
รู้สึกละอาย เพราะตนเป็นพระอริยสาวกแล้ว ได้แต่นั่งก้มหน้า. ลำดับนั้น
พระศาสดาตรัสกะเขาว่า อาฬวกะ บัดนี้ ท่านไม่มีกิจที่จะต้องละอาย
แล้ว จงอุ้มเด็กใส่มือเรา. พวกราชบุรุษก็วางอาฬวกกุมารลงในมืออาฬวก-
ยักษ์ ๆ ก็อุ้มเด็กวางไว้ในพระหัตถ์ของพระทศพล. ส่วนพระศาสดาทรงรับ
แล้ว ก็ทรงวางไว้ในมืออาฬวกยักษ์อีก. อาฬวกยักษ์อุ้มเด็กวางไว้ในมือ
ของเหล่าราชบุรุษ. เพราะพระกุมารนั้นจากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่งดังกล่าวมา
นี้ จึงพากันขนานพระนามกุมารนั้นว่า หัตถกอาฬวกะ. ครั้งนั้น ราชบุรุษ
เหล่านั้นดีใจ พาพระกุมารนั้นไปยังสำนักพระราชา. พระราชาทอดพระ-
เนตรเห็นพระกุมารนั้น ทรงเข้าพระหฤทัยว่า วันนี้อาพวกยักษ์ไม่รับ
ถาดอาหาร จึงตรัสถามว่า เหตุไรพวกเจ้าจึงพากันมาอย่างนี้เล่า พ่อ.
พวกเขากราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ความยินดีและความจำเริญมีแก่ราชสกุล
แล้ว พระศาสดาประทับนั่งในภพของอาฬวกยักษ์ ทรงทรมานอาฬวก-
ยักษ์ ให้เขาดำรงอยู่ในภาวะเป็นอุบาสก โปรดให้อาพวกยักษ์ให้พระกุมาร
แก่พวกข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. แม้พระศาสดาก็ทรงให้อาฬวกยักษ์ถือ
บาตรจีวร เสด็จบ่ายพระพักตร์สู่นครอาฬวี. อาพวกยักษ์นั้น เมื่อจะเข้าสู่
พระนคร ก็รู้สึกละอาย จะถอยกลับ. พระศาสดาทรงแลดูแล้วตรัส
ถามว่า ละอายหรืออาฬวกะ. เขาทูลว่า พระเจ้าข้า ชาวพระนครอาศัย
ข้าพระองค์ ทั้งแม่ ทั้งลูก ทั้งเมีย จึงพากันตาย พวกเขาเห็นข้าพระองค์

แล้ว จักประหารด้วยท่อนไม้บ้าง ก้อนดินบ้าง ธนูบ้าง เพราะเหตุนั้น
ข้าพระองค์จึงจะถอยกลับ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสปลอบว่า อาฬวกะ
ไม่มีดอก เมื่อท่านไปกับเราก็สิ้นภัย ไปกันเถิด ประทับหยุดยืนอยู่แนว
ป่าไม่ไกลพระนคร. แม้พระเจ้าอาฬวกะก็ทรงพาชาวพระนครออกไป
ต้อนรับเสด็จพระศาสดา. พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมโปรดบริษัทที่มา
ถึง. จบเทศนา เหล่าสัตว์ 84,000 ก็พากันดื่มน้ำอมฤต. ชาวเมือง
อาฬวีเหล่านั้น พากันไปที่อยู่ของอาฬวกยักษ ์ ณ แนวป่านั้นนั่นเอง จัด
พลีกรรมกันทุกปี. แม้อาฬวกยักษ์ก็สงเคราะห์ชาวเมืองด้วยการจัดรักษา
อย่างเป็นธรรม.
อาฬวกกุมารแม้นั้น เจริญวัยแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาของพระ-
ศาสดาแล้วก็แทงตลอดมรรคและผล 3 มีอุบาสกผู้เป็นอริยสาวก 500 คน
ห้อมล้อมเที่ยวไปทุกเวลา. ต่อมาวันหนึ่ง เขาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
พร้อมด้วยอุบาสก 500 คน ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขามีวินัยอันดี จึงตรัสถามว่า อาฬวกะ
เธอมีบริษัทมากสงเคราะห์กันอย่างไร. เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เมื่อเขายินดีด้วยการให้ ข้าพระองค์ก็เคราะห์ด้วยการให้ เมื่อ
เขายินดีด้วยการพูดจาน่ารัก ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการพูดจาน่ารัก
เมื่อเขายินดีให้ช่วยทำกิจที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้น ข้าพระองค์ก็จะสงเคราะห์
ด้วยการช่วยทำกิจทีเกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไป เมื่อเขายินดีด้วยการให้วางตน
เสมอกัน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการวางตนเสมอกัน พระเจ้าข้า.
เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้. ต่อมาภายหลังพระศาสดาประทับ ณ พระเชตวัน-
วิหาร เมื่อทรงสถาปนาพวกอุบาสกไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ จึงทรงสถาปนา

หัตถกอาฬวกอุบาสกไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสก
ผู้สงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ 4
แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 4

อรรถกถาสูตรที่ 5


5. ประวัติพระเจ้ามหานามศากยะ



ในสูตรที่ 5 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ปณีตทายกานํ ท่านแสดงว่า พระเจ้ามหานามศากยะ
เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกผู้ถวายท่านอันมีรสประณีต.
ดังได้สดับมา พระเจ้ามหานามศากยะนั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระ
นามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี กำลังฟังธรรมกถา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกผู้ถวายทานอันมีรสประณีต. จึงทำกุศล
ให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านเวียนว่ายอยู่ในเทวดา
และมนุษย์ตลอดแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในราชสกุลเจ้าศากยะ
กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเจริญวัยแล้ว ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล ด้วยการ
เฝ้าพระทศพลครั้งแรกเท่านั้น. ต่อมาสมัยหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจำพรรษา
ณ เมืองเวรัญชาแล้วเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ โดยลำดับ ประทับ ณ นิโครธา-
ราม พระเจ้ามหานามทรงทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงเข้าไปเฝ้า
ถวายบังคมแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลพระศาสดา
อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า เขาว่า